หน้าหลัก > ข่าวสารและความรู้ > วิธีรักษาฝ้าแบบไหน ? รักษาฝ้าหายจริงถึงต้นตอ...ไม่เสี่ยงหน้าพัง !
วิธีรักษาฝ้าแบบไหน ? รักษาฝ้าหายจริงถึงต้นตอ...ไม่เสี่ยงหน้าพัง !
วิธีรักษาฝ้าแบบไหน ? รักษาฝ้าหายจริงถึงต้นตอ...ไม่เสี่ยงหน้าพัง !
05 Mar, 2022 / By Ink
Images/Blog/ySZdBlea-4099A283-3500-4FDD-A37D-91C837F7C7F7.jpeg

ฝ้า
ฝ้า (Melasma) ฝ้าเป็นปัญหาผิวพรรณที่พบได้มากในผู้หญิง โดยเฉพาะผู้หญิงเอเชียผิวคล้ำในช่วงวัยกลางคน แม้ฝ้าจะไม่ใช่โรคหรือภาวะที่มีอันตราย แต่ก็ก่อให้เกิดปัญหาทางสุขภาพจิตและทำให้ผู้หญิงหลายคนต่างหมดความมั่นใจได้ ผู้หญิงส่วนใหญ่จึงใช้วิธีซื้อครีมหรือผลิตภัณฑ์ที่โฆษณาว่ารักษาฝ้าได้มาใช้โดยอาจไม่คำนึงถึงอันตรายที่อาจแอบแฝงอยู่ เรียกว่าลองผิดลองถูกไปเรื่อย ๆ เป็นเวลานานกว่าฝ้าจะจางลงและผลสุดท้ายก็กลับมาเป็นซ้ำอีก ดังนั้นการทำความเข้าใจเกี่ยวกับการรักษาฝ้าอย่างถูกวิธีและเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ลดฝ้าที่ดีจะช่วยทำให้ฝ้าของคุณดูจางลงและผิวหน้ากลับมาสู่สภาพใกล้เคียงปกติได้อย่างยั่งยืนโดยไม่ต้องเสียเวลาลองผิดลองถูกอีกต่อไป

 

วิธีรักษาฝ้า
ต้องบอกว่าในปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษาฝ้าให้หายขาดได้ และฝ้าจะกลับมาเป็นซ้ำได้อีกหากถูกกระตุ้นด้วยแสงแดดและยาหรือฮอร์โมน ซึ่งวิธีการรักษาฝ้าที่แพทย์ผิวหนังใช้ก็คือการควบคุมให้เซลล์สร้างเม็ดสีทำงานน้อยลงด้วยวิธีการต่าง ๆ และอาจต้องใช้หลาย ๆ วิธีร่วมกันเพื่อให้การรักษามีประสิทธิภาพสูงสุด ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับชนิดของฝ้าด้วยว่าเป็นฝ้าตื้นหรือฝ้าลึก โดยวิธีลดเลือนและรักษาฝ้านั้นก็จะมีอยู่หลากหลายวิธีด้วยกัน แต่หลัก ๆ แล้วจะแบ่งได้เป็น

1. การรักษาฝ้าด้วยยาทาหรือผลิตภัณฑ์ไวท์เทนนิ่ง เป็นวิธีการรักษามาตรฐานที่ได้ผลดีและปลอดภัย โดยการรักษาด้วยวิธีมาตรฐานนี้ส่วนใหญ่แล้วจะเริ่มเห็นผลว่าฝ้าดูจางลงใน 1-2 เดือน ถ้าใช้ต่อเนื่องเกิน 6 เดือนก็จะเห็นผลอย่างชัดเจน แต่สำหรับฝ้าลึกนั้นจะค่อนข้างรักษาได้ยากหากต้องใช้ยาทาเพียงอย่างเดียว จึงต้องใช้วิธีการรักษาอื่น ๆ ร่วมด้วย โดยยาทาที่นิยมใช้กันก็ได้แก่

  • ยาทากลุ่มไฮโดรควิโนน (Hydroquinone) เป็นยาตัวหลักที่แพทย์นิยมใช้ในวิธีรักษาฝ้าให้หายขาด เพราะสามารถช่วยลดการสร้างเม็ดสีและทำลายเม็ดสีบางส่วนที่อยู่ใต้ผิวหนังได้ แต่ยานี้ก็มีผลข้างเคียงสูง เพราะมักทำให้เกิดการระคายเคือง แสบร้อน บวม แดง และลอกเป็นขุย ๆ ได้ ในการใช้จึงต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด เพราะหากใช้ยานี้ที่มีความเข้มข้นมากหรือใช้เป็นเวลานานก็อาจทำให้ผิวหนังเกิดการระคายเคือง สีผิวบริเวณนั้นเข้มขึ้น หรือเกิดฝ้าถาวรที่รักษาไม่หายได้
  • ยาทากลุ่มกรดวิตามินเอ (Retinoic Acid) เป็นยาทาที่ช่วยเร่งการหลุดลอกของเซลล์ผิวชั้นบน จึงช่วยให้รอยฝ้าดูจางลงได้ แต่ยารักษาฝ้านี้ต้องใช้อย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 24 สัปดาห์ขึ้นไปจึงจะเริ่มเห็นผล และระหว่างใช้ควรหลีกเลี่ยงแสงแดด เพราะอาจทำให้ผิวหนังไวต่อแสง และทำให้เกิดการระคายเคืองมากขึ้น ส่วนผลข้างเคียงอื่น ๆ ที่อาจพบได้ คือ ผิวหนังแดง คัน ผื่นผิวหนัง ผิวหนังอักเสบ แห้ง ลอก แสบร้อน ผิวมีสีเข้มขึ้นหรือซีดลง
  • ยาทาผสมไฮโดรควิโนน กรดวิตามินเอ และสารสเตียรอยด์ (Kligman's Formula) เป็นตัวยาอีกตัวที่แพทย์นิยมใช้ เนื่องจากใช้ง่าย และมีสเตียรอยด์อ่อน ๆ เพื่อช่วยลดการระคายเคืองของไฮโดรควิโนนและกรดวิตามินเอ แต่หากใช้วิธีรักษาฝ้านี้อย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานก็อาจทำให้เกิดฝ้าจากสเตียรอยด์หรือเกิดฝ้าถาวรจากไฮโดรควิโนนได้ ส่วนผลข้างเคียงอื่น ๆ ที่อาจพบได้ คือ เกิดอาการแดง คัน ระคายเคือง ผิวแห้ง ลอก ผิวมีสีเข้มขึ้นหรือซีดลง สิว ฯลฯ ในการใช้จึงต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิดเช่นกัน
  • ยาทากลุ่มอะเซเลอิก (Azelaic Acid) เป็นยาที่มีประสิทธิภาพในลดการสร้างเม็ดสีได้ดีเทียบเท่ากับยาทาไฮโดรควิโนน แต่การใช้ยานี้ช่วงแรกอาจก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวหนังหรือแสบร้อนบริเวณผิวหนังได้ จึงต้องใช้ด้วยความระมัดระวังหรืออยู่ในการดูแลของแพทย์
  • การลดเลือนและรักษาฝ้าแดดด้วยผลิตภัณฑ์กลุ่มสารไวท์เทนนิ่งทั่วไป (Whitening Agents) เช่น วิตามินซี, สารสกัดจากชะเอมเทศ, อาร์บูติน, กรดโคจิก, สารสกัดจากถั่วเหลือง ฯลฯ เป็นการรักษาฝ้าอย่างถูกวิธีและปลอดภัยที่สุด เนื่องจากเป็นสารที่ก่อให้เกิดการระคายเคืองต่ำ แม้จะได้ผลช้ากว่ายาทาแต่ก็ได้ผลค่อนข้างดีในระยะยาวที่ช่วยทำให้ฝ้ารวมถึงฝ้าแดดจางลงและผิวดูขาวขึ้น เป็นอีกหนึ่งวิธีในการลดเลือนและรักษาฝ้าให้หายขาดที่ได้ผลค่อนข้างชัดเจน

 

2. การลอกผิวด้วยสารเคมีหรือกรอผิวด้วยเกร็ดอัญมณี เพื่อกำจัดเม็ดสีที่มีอยู่ออกไป เป็นการรักษาที่ต้องทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น เพราะอาจก่อให้เกิดแผลเป็นถาวรได้จากการลอกชั้นผิวที่ลึกเกินไป หลังทำต้องหลีกเลี่ยงการสัมผัสแสงแดดอย่างเคร่งครัดและทาครีมกันแดดอย่างสม่ำเสมอ ไม่อย่างนั้นฝ้าจะกลับมาเป็นซ้ำและเข้มขึ้นมากกว่าเดิมจากผิวที่บางลงจากการลอกหรือกรอผิว

  • การลอกผิวด้วยสารเคมี (Chemical Peeling) เป็นการใช้สารเคมีที่มีความเข้มข้นสูงกว่าครีมรักษาฝ้าที่ผสมกรดผลไม้หลายเท่า ในการใช้จึงต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดผิวไหม้หรือแผลเป็นถาวร
  • การกรอผิวด้วยเกร็ดอัญมณี (Microdermabrasion) เพื่อขัดและลอกผิวหนังชั้นหนังกำพร้าด้านบนออก ใช้ได้ผลกับฝ้าตื้น แต่เป็นวิธีรักษาฝ้าที่ก่อให้เกิดการระเคืองสูง และหลังทำต้องระมัดระวังการสัมผัสกับแสงแดดมากเป็นพิเศษ จึงเป็นวิธีที่ไม่ค่อยได้รับความนิยมมากนักในการรักษา โดยเฉพาะในบ้านเราที่มีอากาศร้อนและมีโอกาสสัมผัสแสงแดดได้สูง

3. การรักษาฝ้าด้วยเลเซอร์/แสง (Laser/Light Therapy) เป็นเทคโนโลยีที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน เพราะมีความแม่นยำและรักษาได้ตรงจุด แต่การรักษาฝ้านี้ก็เป็นเพียงการรักษาเสริมเท่านั้น ไม่ใช่การรักษาหลัก (ใช้ทำลายเม็ดสีที่ปลายเหตุ ไม่ได้ช่วยยับยั้งการสร้างเม็ดสีที่เป็นต้นเหตุ) แถมวิธีนี้ยังเปรียบเสมือนดาบสองคมที่แม้จะทำให้ฝ้าจางลงเร็ว แต่ก็ดูจะเป็นวิธีที่มีข้อเสียอยู่มากที่ต้องคำนึงถึง เนื่องการทำเลเซอร์จะอาศัยหลักการปล่อยพลังงานความร้อนไปยังฝ้าเพื่อทำลายเม็ดสีโดยตรง นั่นจึงเป็นผลทำให้ผิวบริเวณที่ทำเลเซอร์นั้นไวต่อแสง (หลังทำในช่วง 2-4 สัปดาห์ห้ามโดนแดดอย่างเด็ดขาด), ผิวแพ้ง่าย (ต้องงดใช้เครื่องสำอางที่มีส่วนประกอบของกรดหรือใช้สครับเพราะจะทำให้เกิดอาการอักเสบได้ง่าย), ผิวแห้ง ขาดน้ำ ตกสะเก็ด และเป็นขุย, เป็นสาเหตุการเกิดฝ้าใหม่และมีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำได้ง่ายกว่าเดิม (เพราะผิวมีสภาพอ่อนแอจากการทำเลเซอร์), ฝ้าอาจเข้มขึ้น หรือเกิดจุดด่างขาว (อาจเกิดจากเครื่องมือที่ไม่มีคุณภาพหรือความไม่ชำนาญของแพทย์), อาจเกิดแผลเป็นจากเลเซอร์ เป็นต้น นอกจากนี้ การรักษาฝ้าด้วยวิธีนี้ยังมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง ต้องทำเป็นประจำ อาศัยเครื่องมือการรักษาที่ทันสมัย และความชำนาญของแพทย์ (เพราะต้องปรับพลังงานที่ใช้ให้พอดีกับลักษณะของฝ้าที่เป็นไม่ให้มากหรือน้อยจนเกินไป)   

อย่างไรก็ตาม เพื่อให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดสำหรับการแก้ปัญหา"ฝ้า"อย่างยั่งยืนและเห็นผลต่อเนื่อง คือแนะนำให้ใช้ผลิตภัณฑ์กลุ่มไวท์เทนนิ่งที่ปลอดภัยและมีคุณภาพร่วมด้วยเสมอจะดีกว่า อย่างเช่นผลิตภัณฑ์ที่มีสารสำคัญอย่าง "วิตามินซี" หลายคนมักคุ้นชื่อและรู้จักกันเป็นอย่างดีสำหรับสารสกัดตัวนี้ ซึ่งประโยชน์เด่นๆของเขาเลยก็คือทำให้ผิวสว่างกระจ่างใส ลดฝ้า-กระ จุดด่างดำ แต่รู้หรือไม่ ชนิดของอนุพันธุ์วิตามินซีในปัจุบันนั้นมีให้เลือกมากมาย โดยตัวแรกที่เป็นต้นกำเนิดของวิตามินซีเลยก็คือ Ascorbic acid (หรือวิตามินซีสด) มีประสิทธิภาพสูงสุดในการลดเลือนจุดด่างดำ หากแต่สูญเสียความเสถียรได้ง่ายเมื่อโดนแสงแดด และก่อให้เกิดความระคายเคืองต่อผิวอย่างมาก เนื่องจากมีความรุนแรง จึงไม่เหมาะสำหรับผิวแพ้ง่ายหรือใครที่ต้องการใช้อย่างต่อเนื่อง โดยสมัยนี้มีผู้เชี่ยวชาญมากมายมีการคิดค้นตัวอนุพันธ์วิตามินซีที่มีความเสถียรสูงและอ่อนโยน สามารถนำมาใช้รักษาฝ้าได้อย่างสม่ำเสมอ แต่ก็ไม่ใช่ทุกตัวที่จะดีเหมือนกันเสียหมด อย่างตัวที่พอจะไว้ใจได้และมีความน่าสนใจอย่างมากเลยก็คือ Caprylyl 2-Glyceryl Ascorbate (อนุพันธ์วิตามินซีที่มีความเสถียรสูง)ในเจ้าตัว First Care White Essence จากเวชสำอาง Welpano ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ช่วยเรื่องลดเลือนฝ้าแดดโดยไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียง และอีกสิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้และห้ามมองข้ามนั้นคือ การทาครีมกันแดดในปริมาณทั่วใบหน้าทุกวันควบคู่ไปด้วย เพราะแสงแดดจะเป็นตัวกระตุ้นที่รุนแรงที่สุดของปัญหาฝ้าและอื่นๆ แม้จะใช้ครีมดีแค่ไหนก็ไม่สามารถต้านการทำร้ายผิวที่รุนแรงของแสงอาทิตย์ที่มีต่อผิวเราได้อย่างแน่นอน

Like