ปัญหาที่ผู้หญิงส่วนใหญ่มักพบเป็นประจำทุกๆ เดือน คืออาการ “ปวดประจำเดือน” และคิดว่าอาการปวดประจำเดือนเป็นเรื่องธรรมชาติ โดยเฉพาะถ้ามีอาการปวดเพียงเล็กน้อย สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ แต่อย่างไรก็ตาม อาการปวดประจำเดือนเพียงเล็กน้อย เป็นระยะเวลานาน อาจเป็นสัญญาณบ่งบอกของโรคร้ายได้เช่นเดียวกัน
โดยปกติแล้วผู้หญิงจำนวนมาก จะมีอาการปวดท้องก่อนมีประจำเดือน 1-2 วัน และระหว่างมีประจำเดือนในช่วงวันแรกๆ อาการจะมีตั้งแต่ อาการปวดหน่วงหรือปวดเกร็งเล็กน้อย ไปจนถึงอาการปวดขั้นรุนแรงบริเวณท้องน้อยและอาจมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น ปวดหลังด้านล่าง คลื่นไส้อาเจียน เหงื่อออก ท้องเสียหรือท้องผูก ท้องอืด เวียนหัว ปวดหัว ซึ่งการปวดประจำเดือนมีอยู่ 2 กลุ่มใหญ่ๆ คือ
สาเหตุของการปวดประจำเดือน แบ่งได้เป็น 2 ประเภทดังนี้
🔺ปวดประจำเดือนปฐมภูมิ (Primary dysmenorrhea) คือ การปวดประจำเดือนที่ไม่มีโรคหรือพยาธิสภาพใดๆ อาการปวดนี้เกิดจากสาร Prostaglandin เป็นสารเคมีที่หลั่งออกมาจากเยื่อบุโพรงมดลูกระหว่างการมีประจำเดือน สารดังกล่าว เป็นสาเหตุให้กล้ามเนื้อมดลูกบีบตัว ทำให้มีอาการปวดท้องน้อย และลดปริมาณเลือดมาเลี้ยงมดลูก และระดับออกซิเจนมายังมดลูก เหมือนอาการเจ็บครรภ์คลอด โดยสารดังกล่าวอาจทำให้มีอาการคลื่นไส้ ถ่ายเหลวในบางราย โดยทั่วไปอาการที่เป็นลักษณะจำเพาะของการปวดประจำเดือนปฐมภูมิ มีดังนั้น
▶️ เริ่มปวดตั้งแต่หลังมีประจำเดือนใหม่ๆ (less than 6 month after menache)
▶️ ระยะเวลาของอาการจะเกิดภายใน 48-72 ชั่วโมงของการมีประจำเดือน
▶️ อาการปวดบีบหรือปวดคล้ายอาการเจ็บครรภ์คลอด
▶️ อาการปวดมักเริ่มจากบริเวณอุ้งเชิงกราน อาจมีร้าวไปหลัง หรือต้นขาได้
▶️ ตรวจภายในไม่พบความผิดปกติ
▶️ อาจพบร่วมกับอาการอาการคลื่นไส้ ถ่ายเหลว อ่อนเพลีย เหนื่อยล้าได้
🔺ปวดประจำเดือนทุติยภูมิ (Secondary dysmenorrhea) คือ อาการปวดประจำเดือนที่มีพยาธิสภาพ หรือโรคอื่นอันเป็นสาเหตุของการปวด โดยมักมีอาการปวดที่รุนแรง หรือเรื้อรังมากกว่าปวดประจำเดือนปฐมภูมิ ดังนี้
▶️ อาการปวดเริ่มในช่วงอายุ 20-30 ปี โดยไม่มีอาการปวดประจำเดือนมาก่อนหรือปวดน้อยกว่า
▶️ อาการปวดรุนแรงมากขึ้น มีผลต่อการทำงาน ปวดมากจนในบางรายจำเป็นต้องได้รับยาฉีดแก้ปวด
▶️ มีประจำเดือนมามากหรือมาผิดปกติร่วมด้วย
▶️ มีความผิดปกติในอุ้งเชิงกราน หรือตรวจร่างกายพบความผิดปกติ
▶️ ไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยาแก้ปวดกลุ่ม NSAIDs หรือ ยาเม็ดคุมกำเนิด
▶️ มีภาวะมีบุตรยาก
▶️ ปวดขณะมีเพศสัมพันธ์
▶️ มีตกขาวผิดปกติทางช่องคลอด
ปวดประจำเดือนรุนแรงหรือเรื้อรังนานๆ เสี่ยงเป็นโรคอะไรได้บ้าง??
โดยทั่วไปดังที่ได้กล่าวมาแล้ว อาการปวดประจำเดือนแบบปฐมภูมิอาการมักไม่รุนแรง ในกรณีที่มีอาการปวดรุนแรงหรือเรื้อรัง ส่วนใหญ่มักเป็นอาการปวดประจำเดือนทุติยภูมิ ซึ่งสาเหตุการเกิดได้แก่
1. เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ (Endometriosis) เป็นโรคหรือภาวะที่มีเยื่อบุโพรงมดลูกเกิดขึ้นที่อวัยวะอื่นหรือบริเวณอื่นที่ไม่ใช่ภายในโพรงมดลูก โดยเซลล์เยื่อบุโพรงมดลูกจะมีการตอบสนองต่อฮอร์โมนในร่างกายตามรอบประจำเดือนเหมือนเซลล์ที่อยู่ในโพรงมดลูกที่จะมีประจำเดือนออกมาทุกรอบเดือน ดังนั้น หากมีเซลล์เยื่อบุโพรงมดลูกอยู่ในตำแหน่งต่างๆ ของร่างกาย โดยเฉพาะที่รังไข่ หรือเยื่อบุช่องท้องน้อย ก็จะทำให้มีเลือดคั่ง กลายเป็นถุงน้ำที่เรียกว่าถุงน้ำช็อกโกแลต (chocolate cyst) หรือ มีเลือดออกในช่องท้อง ก็จะมีอาการปวด ระคายเคืองในท้องน้อย ปวดท้องประจำเดือนมากขึ้น และสามารถก่อให้เกิดพังผืดในช่องท้องได้ ทำให้มีอาการปวดท้องน้อยเรื้อรัง ปวดท้องน้อยขณะตรวจภายใน และปวดขณะมีเพศสัมพันธ์ได้ นอกจากนี้ยังเป็นสาเหตุของภาวะมีบุตรยากในอนาคตด้วย
ในกรณีที่เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญเติบโตเข้ากล้ามเนื้อมดลูก เรียกว่า Adenomyosis ยังทำให้เกิดมดลูกโต ประจำเดือนมามาก ปวดท้องน้อยมากขณะมีประจำเดือน บางรายมีอาการท้องโตขึ้นหรือบวมมากขึ้นก่อนมีประจำเดือน เนื่องจากมีเลือดออกในกล้ามเนื้อมดลูก
2. เนื้องอกมดลูก โดยเฉพาะเนื้องอกมดลูกชนิดใต้เยื่อบุโพรงมดลูก (Submucous myoma)
เป็นเนื้องอกชนิดไม่ร้ายของมดลูกที่พบได้บ่อย จากการรายงานผลทางพยาธิวิทยาพบเนื้องอกในมดลูกที่ได้รับการผ่าตัดมากถึง ร้อยละ 80 แต่สำหรับเนื้องอกที่ก่อให้เกิดอาการพบประมาณ 12-25 เปอร์เซ็นต์ เท่านั้น โดยเนื้องอกชนิดใต้เยื่อบุโพรงมดลูกพบได้ร้อยละ 5-10 ของโรคนี้
เนื้องอกชนิดนี้จะทำให้มดลูกบีบตัวมากขึ้น เพื่อขจัดสิ่งที่ขัดขวางการหดรัดตัวภายในโพรงมดลูก จึงเป็นสาเหตุให้มีอาการปวดประจำเดือนมากขึ้น
3. ห่วงอนามัย เนื่องจากห่วงอนามัยจำเป็นต้องใส่ไว้ภายในโพรงมดลูก จึงเป็นสาเหตุให้มดลูกบีบตัวมากขึ้น นอกจากนี้อาจทำให้เกิดพังผืดในมดลูกได้ด้วย
4. การมีพังผืดในช่องท้อง พังผืดนี้อาจเกิดจากผลของการผ่าตัดคลอด หรือประวัติการผ่าตัดเข้าช่องท้องมาก่อน หรือการอักเสบในอุ้งเชิงกรานและช่องท้อง ก่อให้เกิดพังผืดที่มีการดึงรั้งมดลูก ขณะที่มดลูกบีบตัวในขณะมีประจำเดือน ก็ทำให้อาการปวดประจำเดือนเป็นมากขึ้น หรือบางครั้งอาจปวดท้องน้อยเรื้อรังโดยไม่สัมพันธ์กับประจำเดือนก็ได้
5. ปากมดลูกตีบ (Cervical stenosis) เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เลือดประจำเดือนไหลออกจากโพรงมดลูกได้ไม่สะดวก ทำให้มดลูกบีบตัวมากขึ้น ทำให้ปวดประจำเดือนมากขึ้นได้
6. ความผิดปกติของโครงสร้างทางกายภาพในอวัยวะสืบพันธุ์ (Obstructive malformation of the genital tract)
โครงสร้างที่ผิดปกติอาจทำให้ประจำเดือนไหลออกมาไม่ได้ ทำให้ปวดประจำเดือนมากขึ้นได้
นอกจากนี้ยังพบสาเหตุอื่นๆ ที่อาจทำให้มีอาการปวดประจำเดือนรุนแรงเรื้อรัง ได้แก่ ภาวะเนื้องอกรังไข่ Ovarian neoplasm, ภาวะเยื่อบุช่องท้องอักเสบ (Peritonitis), การตั้งครรภ์, เนื้องอกมดลูกชนิดต่างๆ, Adrenal Insufficency and Adrenal Crisis, การติดเชื้ัอในทางเดินปัสสาวะและกระเพาะปัสสาวะอักเสบ, ท้องนอกมดลูก ลำไส้อักเสบเรื้อรัง (Inflammatory Bowel Disease, Irritable Bowel Syndrome), อุ้งเชิงกรานอักเสบ เป็นต้น
สำหรับการดูแลอาการปวดท้องประจำเดือน เบื้องต้นสามารถเริ่มด้วยการรับประทานยาระงับปวดทั่วไป และสิ่งที่สำคัญที่สุด คือ การดูแลตัวเอง เช่น การเลือกรับประทานอาหาร การพักผ่อน และควรได้รับการตรวจสุขภาพโรคเฉพาะด้านนรีเวชวิทยาอย่างน้อยปีละครั้ง พร้อมทั้งคอยหมั่นสังเกตรอบประจำเดือนของตัวเองว่ามาสม่ำเสมอหรือไม่ และที่สำคัญคือ ภาวะการปวดประจำเดือน ถ้ามีอาการปวดประจำเดือนมากขึ้นเรื่อย ๆ ก็ควรจะปรึกษาแพทย์เพื่อทำการวินิจฉัยและรักษาต่อไป
✨แนะนำไอเทมเสริม เลือกวิตามินรวม IWIS Innetive Plus #ไอวิสอินเนอร์ทีฟพลัส
มีสารสกัดหลักจาก Rose hip Extract Powder ที่ช่วยลดอาการปวดประจำเดือน และสีประจำเดือนที่ดำคล้ำ ไม่มีส่วนผสมของว่านชักมดลูก หรือส่วนผสมของฮอร์โมนใดๆ สารสกัดจากดอกกุหลาบป่า อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุต่าง ๆ ที่มีประโยชน์ มีวิตามินซีสูงกว่าผลไม้ตระกูลส้มถึง 20 เท่า ช่วยต้านอนุมูลอิสระ ช่วยให้ผิวแข็งแรง เปล่งปลั่ง อ่อนนุ่ม ผิวพรรณอ่อนเยาว์มีน้ำมีนวล ทำให้ผิวกระจ่างใส ลดเลือนริ้วรอย จุดด่างดำ ฟื้นฟูผิวถึงผิวชั้นใน และยังช่วยบำรุงโลหิต หัวใจและประสาท บำรุงประจำเดือนของสตรี ระงับอาการปวด
นอกจากนี้ IWIS Innetive Plus ยังอุดมไปด้วยสารสกัดเน้นบำรุงร่างกายอีก9ชนิด รวมเป็น10in1
▶️ Maqui Berry Extract มากิเบอร์รี่ ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ กลุ่มแอนโทไซยานิน (Anthocyanin) นอกจากบำรุงผิวแล้ว ยังมีส่วนช่วยสุขภาพเส้นเลือดแข็งแรง สาเหตุมาจากการที่มีค่าการต่อต้านอนุมูลอิสระที่สูงมาก ช่วยส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกัน ช่วยชะลอการอักเสบ ปกป้องและบำรุงสายตา
▶️ Beetroot Powder บีทรูท สารบีทานินในบีทรูท ช่วยยับยั้งการเกิดโรคมะเร็ง ทำให้เลือดลมและระบบการไหลเวียนโลหิตทำงานได้ดีมากขึ้น และมีสารแอนโธไซยานิน ต้านอนุมูลอิสระ ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็ง และโรคหัวใจบำรุงผิวพรรณ บำรุงเลือด เพิ่มความสดชื่นและตื่นตัว
▶️ Reishi Extract Powder สารสกัดเห็ดหลินจือ ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันเซลล์เสื่อมสภาพ ควบคุมระบบการไหลเวียนของเลือด ลดความดันโลหิต ลดปริมาณน้ำตาล ช่วยผ่อนคลายระบบประสาท จึงทำให้นอนหลับสนิท
▶️ Gotu Kola Extract สารสกัดจากใบบัวบก ช่วยผิวฟื้นฟูและสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวหนังเปล่งปลั่ง บำรุงสมอง บำรุงสายตา
▶️ Finger Root Extract สารสกัดจากกระชาย มีส่วนช่วยบำรุงร่างกาย บำรุงสุขภาพ บำรุงผิวพรรณ เสริมสรรถภาพทางเพศ ช่วยลดการอักเสบของผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดความเสี่ยงการเกิดโรคมะเร็ง
▶️ Emblica Extract สารสกัดมะขามป้อม ราชาผลไม้แห่งความแข็งแรง เนื่องจากอุดมไปด้วย วิตามินซี มากที่สุดในบรรดาผลไม้ทั้งหมด ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน บำรุงสายตา
▶️ Citrus Aurantium Extract สารสกัดจากส้มซ่า ช่วยกระตุ้นระบบเผาผลาญแคลลอรี่ที่เกินความจำเป็น และเพิ่มพลังงานให้กับร่างกาย ช่วยควบคุมและลดความอยากอาหาร โดยไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียงต่อระบบการทำงานของหัวใจและระบบประสาท และยังช่วยให้ผิวเปล่งปลั่ง
▶️ Selenium Chelate 1% ซิลิเนียม แร่ธาตุที่มีความจำเป็นต่อร่างกาย ซึ่งเป็นส่วนที่ร่างกายสามารถสกัดได้เองจากยีสต์ และนำไปใช้ประโยชน์ได้ทันที ช่วยคงความยืดหยุ่นของผิว ช่วยป้องกันมะเร็ง ช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและเส้นเลือดในสมองตีบบรรเทาอาการร้อนวูบวาบและอาการวัยทอง ช่วยเพิ่มจำนวนสเปิร์มเสริมการทำงานของกลูต้าไธโอน
▶️ DL-alpha tocopheryl acetate วิตามินอี ช่วยทำให้แลดูอ่อนกว่าวัย ช่วยบรรเทาอาการอ่อนเพลีย ชะลอการเสื่อมสภาพของเซลล์
เริ่มต้นดูแลตัวเองได้ง่ายๆ เพียงรับประทาน IWIS Innetive Plus ครั้งละ 2แคปซูล หลังอาหาร เช้าหรือกลางวันได้เลยค่ะ สามารถทานต่อเนื่องได้อย่างปลอดภัย ไม่เป็นอันตรายหรือมีผลข้างเคียงค่ะ